สาหร่ายเกลียวทอง 100% ( 100% Spirulina )
วิธีรับประทาน สาหร่ายเกลียวทอง (สไปรูมิน่า)ชนิดผง :
แนะนำที่ 1 - 2 ช้อนชา (2-4 กรัม ) กับอาหารหรือเครื่องดื่ม 200-400 มล.
โดยสามารถเพิ่มหรือลดปริมาณได้ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคล
ซึ่งสาหร่ายเกลียวทองจะมีกลิ่นและรสชาติเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
แต่ในกรณีที่ต้องการเสริมโปรตีน B12 เสริมสารต้านอนุมูลอิสระ เป็นพิเศษ
ทานเช่นนี้วันละ 2-3 ครั้ง ได้นะคะ
สามารถใช้ผสมในอาหาร เครื่องดื่มต่างๆ ทั้งร้อน เย็น ได้ค่ะ
**สามารถทานได้วันละ 2-4 ช้อนชา
**มีกลิ่นหอมของสาหร่าย สำหรับท่านที่ไม่ชอบกลิ่นสาหร่ายในรูปแบบเครื่องดื่ม
สามารถผสมอาหารได้นะคะ หรือ เลือกทานเป็นแบบเม็ดแทนค่ะ
*************************************
สีเขียวแกมน้ำเงิน มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า "Spirulina plantensis" เป็นพืชที่เกิดขึ้นเมื่อ 3,500 ล้านปีมาแล้ว เป็นสาหร่ายหลายเซลล์ขนาดเล็ก ที่มองด้วยตาเปล่าแทบไม่เห็น
•
จุดเด่นมากๆ ที่หาได้ยากจากพืชก็คือ โปรตีน ที่มีอยู่มาก และ มีวิตามิน B12
ที่ร่างกายจำเป็นต้องใช้ในการสร้างเม็ดเลือดแดง และ บำรุงระบบประสาท เรามาตามดูกันค่ะ ว่านอกจากจุดเด่นทั่งสองนี้แล้ว ยังมีอะไรต่อไปอีก
•
1.) สาหร่ายสไปรูลิน่ามีกรดไขมัน แกมม่า ไลโนเลนิกในปริมาณสูง เป็นรองแต่น้ำนมแม่เพียงอย่างเดียว กรดไขมัน GLA เป็นสารตั้งต้นของฮอร์โมนพรอสต้าแกลนดิน กรดไขมัน GLA ทำให้ไขมันคลอเลสเตอรอลในเลือดลดลง เป็นผลให้ชั้นในของหลอดเลือดไม่มีฝ้าไขมันจับ เลือดไหลเวียนสะดวก หัวใจไม่ขาดเลือดมาหล่อเลี้ยงและส่งผลให้ความดันโลหิตปกติ
•
2.) เม็ดสีน้ำเงินไฟโคไซยานิน มีอยู่แต่ในสาหร่ายสไปรูลิน่าเท่านั้น และมีคุณสมบัติที่วงการแพทย์ให้ความสนใจ เม็ดสีนี้ได้พัฒนาตัวเองมาถึง 3,600 ล้านปี มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ และเพิ่มความต้านทานให้ร่างกาย เป็นความหวังของผู้ป่วยที่เป็นมะเร็ง โรคเอดส์ และเป็นความหวังว่าจะเข้ามาแทนที่การใช้ยาปฏิชีวนะในคนได้ต่อไป
•
3.) สาหร่ายสไปรูลิน่ามีวิตามินบี 12 ซึ่งโดยทั่วไปวิตามินนี้ จะมีในเนื้อสัตว์เท่านั้น ไม่มีในพืช วิตามินบี12 จะช่วยในการผลิตเม็ดเลือดแดง และบำรุงระบบประสาท ช่วยให้กรดนิวคลีอิกสามารถซ่อมหรือสร้าง DNA ซึ่งนักมังสวิรัติไม่ทานเนื้อสัตว์จึงขาดวิตามินบี12 ง่ายมาก
ในโครงสร้างของวิตามินบี12 ยังมีธาตุโครเมียมอยู่ด้วย ซึ่งเป็นตัวทำให้การทำงานของฮอร์โมนอินซูลินเผาผลาญน้ำตาลได้ดีขึ้น
•
4.) สาหร่ายสไปรูลิน่ามีธาตุเหล็กสูง ซึ่งธาตุเหล็กนี้อยู่ในไฟโคไซยานิน มีหน้าที่ไปสร้างฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ธาตุเหล็กในสาหร่ายจะดูดซึมและนำไปใช้ได้ง่าย สาหร่ายสไปรูลิน่าจึงเหมาะกับผู้ที่เป็นโรคโลหิตจาง และผู้หญิงวัยเจริญพันธ์ซึ่งต้องเสียเลือดในรอบเดือน เหล็กยังทำหน้าที่เปลี่ยนเบต้าแคโรทีนให้เป็นวิตามินเออีกด้วย
•
5.) เม็ดสีเหลืองส้ม คือ กลุ่มของคาโรทีน ซึ่งตัวที่สำคัญคือ เบต้าแคโรทีน มีปริมาณสูงในสาหร่ายสไปรูลิน่า มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ โดยจะทำงานร่วมกับวิตามินอีและธาตุซีลีเนียม ทำให้เกิดอำนาจในการต้านอนุมูลอิสระสูงมาก สาหร่ายจึงเหมาะกับการใช้อาหารเสริมเพื่อป้องกันโรคเสื่อมทั้งหลาย ชะลอความแก่ และ เบต้าแคโรทีนยังเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ ซึ่งสำคัญต่อสายตา การเห็น ผิวพรรณ และภูมิต้านทาน
•
6.) สังกะสีในสาหร่ายสไปรูลิน่ามีค่อนข้างสูง ในอาหารปกติจะมีธาตุสังกะสีไม่ถึงครึ่งหนึ่งของความต้องการในแต่ละวัน ดังนั้นการทาน สาหร่ายเป็นอาหารเสริมจึงทำให้ร่างกายไม่ขาดธาตุสังกะสี สังกะสีสำคัญในฐานะทำหน้าที่เป็นตัวเร่งเอนไซม์ประมาณ 140 ชนิดในร่างกายให้ทำงาน และสังกะสีนอกจากร่วมต้านอนุมูลอิสระด้วยแล้ว ยังมีความสำคัญต่อการแบ่งตัวของเซลล์ เซลล์ที่แบ่งตัวเร็วจะต้องมีสังกะสีพอเพียง จึงพบมากในอวัยวะสืบพันธุ์ การเจริญพัฒนาทางเพศ
(ชายใช้สังกะสีมากกว่าหญิง) เม็ดเลือดแดง ตับ เป็นต้น ถ้าขาดสังกะสีแผลและการอักเสบจะหายช้า ดังนั้นนักกีฬาจึงนิยมกินสาหร่ายสไปรูลิน่าเพราะทำให้ฟื้นตัวเร็ว
ข้อมูลส่วนหนึ่งจากหนังสือ:
Food Of The Future
โดย ศ.ดร.นพ สมศักดิ์ วรคามิน
🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃
และที่สำคัญสาหร่ายสไปรูลิน่านี้ เพาะเลี้ยงและผลิตในประเทศไทย
ในพื้นที่อากาศบริสุทธิ์ณ อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ ปราศจากสารโลหะหนัก
เพราะที่ฟาร์มแห่งนี้ ใช้น้ำดื่มในการเลี้ยง สะอาด ปลอดภัย ทุกขั้นตอนค่ะ
•ชนิดผง (บรรจุ 250 กรัม) ราคา 825.- บาท